Learning
log 11 (นอกห้องเรียน)
การจะเป็นนักแปลได้นั้นเราต้องเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ
ไปสู่จุดใหญ่ๆ เริ่มจากการทำความเข้าใจเนื้อหา ฝึกหัดบ่อยๆ
เพราะการจะเป็นนักแปลที่ดีได้นั้นผลงานกรแปลที่ออกมาจะต้องไม่ผิดเพี้ยนไปจากต้นฉบับ
ไม่มีการเติมแต่งเนื้อหา และการแปลนั้นจะต้องมีความกระชับ กะทัดรัด ได้ใจความ
และสำนวนสละสลวย สวยงาม ดังจะศึกษาต่อไปนี้
ศึกษาเรื่องการแปลประโยค
Passive Voice ในการแปลประโยค Passive Voice ให้เป็นภาษาไทยนั้น
ผู้แปลจะต้องพิจารณาถึงปริบทในภาษาอังกฤษอย่างรอบคอบเสียก่อน เพื่อดูความหมายที่แฝงอยู่
ถ้าปริบทเป็นประสบการณ์ในเชิงลบ หรือมีความหมายไปในทางที่ไม่ดี
เวลาแปลให้ใช้ประโยคกรรม แบบกรรมถูก เช่น เขาถูกแม่ตี
แต่ถ้าปริบทเป็นเหตุการณ์น่าพึงพอใจ
หรือบ่งบอกถึงสถานการณ์อันน่ายินดีให้ใช้ประโยคกรรมได้รับ เช่น
เขาได้รับเชิญไปงานเลี้ยง หากปริบทบ่งบอกว่า ประธานเป็นเพียงผู้รับผลกระทำจากใครคนใดคนหนึ่งหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ให้ใช้ประโยคกรรมเป็นกลาง เช่น สะพานนี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2525 ประโยคกรรมมรนัยความหมายเป็นกลางจะทำหน้าที่บอกกล่าว
เล่าเรื่องราวหรือรายงานเหตุการณ์ สถานการณ์
ตัวอย่างประโยคกรรมนัยความหมายไม่ดี เช่น The students were
punished for cutting class. แปลว่า นักเรียนถูกทำโทษเพราะโดดเรียน The
man was fined for throwing cigarettes on the floor. แปลว่า
ผู้ชายคนนั้นถูกปรับฐานโยนบุหรี่ลงบนพื้น The thief was forced against the
wall, hands above his head. แปลว่า
ขโมยถูกบังคับให้หันหน้าเข้ากำแพงและยกมือไว้เหนือศีรษะ เป็นต้น
ประโยคกรรมในความหมายดี
เช่น Ha was appointed the chairman of the company. แปลว่า
เขาได้รับตำแหน่งเป็นประธานบริษัท He was invited to a party. แปลว่า เขาได้รับเชิญไปงานเลี้ยง Thai hotels are praised all over
the world for their excellent service. แปลว่า
โรงแรมไทยได้รับการยกย่องไปทั่วโลกด้วยการให้บริการชั้นยอดเยี่ยม เป็นต้น
และประโยคกรรมในความหมายเป็นกลาง เช่น This fine bread is made from a
special wheat flour. แปลว่า ขนมปังแสนอร่อยนี้ทำจากแป้งสาลีชนิดพิเศษ
This building has been well designed to conserve energy. แปลว่า
ตึกนี้ออกแบบมาอย่างดีให้ประหยัดพลังงาน Pancakes should be eaten warm
from the pan. แปลว่า แพนเค้กควรรับประทานร้อนๆจากกระทะ เป็นต้น
เมื่อศึกษาวิธีการแปลแล้ว
ต่อไป คือ ปัญหาที่เกิดในการแปล คือ ปัญหาทางด้านไวยากรณ์และโครงสร้างของประโยค
เช่น การแปลประโยค Passive Voice การแปล Tense การแปลคำเชื่อมโยง การแปลสรรพนมที่ไม่ชี้เฉพาะเจาะจง การแปลประธานที่ไร้ความหมาย ตัวอย่างได้แก่ (1.) การแปลที่มีกริยาเป็นกรรม Passive Voice เช่น He
was invited to give a speech at the opening ceremony. โดยปกติจะแปลว่า
“เขาถูกเชิญให้ไปพูดในพิธีเปิด” (2.)
การแปลกริยาที่อยู่ในกาลต่างๆ เช่น She always has a headache when she
reads for a long time. โดยปกติแล้วจะแปลว่า
“เธอปวดศีรษะขณะเมื่อเธอกำลังอ่านหนังสือเป็นเวลานาน” ข้อควรสังเกตคือ
คำกริยาในประโยคนี้ใช้รูปปัจจุบันเพื่อแสดงว่าเหตุการณ์ในประโยคเกิดขึ้นเสมอโดยมีกริยาวิเศษณ์
always เป็นตัวบอกความหมายให้ชัดเจนขึ้น ทางที่ดีควรจะแปลว่า
“เธอมักปวดศีรษะเสมอเมื่อเธออ่านหนังสือเป็นเวลานานๆ” (3.)
การแปลคำเชื่อมประโยค เช่น They did not love each other, so they
separated. โดยปกติแล้วผู้คนมักจะแปลว่า “เขาไม่รักกัน
เขาจึงแยกกัน” ข้อสังเกตคือ so คือคำเชื่อมโยงเหตุและผล
ดังนั้นควรจะแปลว่า “เขาไม่รักกันแล้ว ดังนั้นเขาจึงแยกทางกัน” (4.) การแปลคำสรรพนามที่ไม่ชี้เฉพาะเจาะจง เช่น You are the one I love
โดยปกติผู้คนมักจะแปลว่า เธอเป็นคนหนึ่งที่ฉันรัก” ข้อวังเกตคือ one
เป็นสรรพนามที่ไม่เจาะจง ผู้แปลต้องอาศัยปริบทจึงจะแปลได้ถูกต้อง
ดังนั้นควรจะแปลว่า “เธอคือคนที่ฉันรัก” (5.) การแปลประธานที่ไร้ความหมาย เช่น It was cold this year. ผู้คนมักจะแปลว่า “มันหนาวปีนี้” ข้อสังเกตคือ
ประโยคภาษาอังกฤษจำเป็นต้องมีประธาน it
ทำหน้าที่เป็นประธานแต่ไม่มีความหมายเพราะไม่ได้แทนคำนามตัวใด ดังนั้นควรแปลว่า
“ปีนี้อากาศหนาว”
ปัญหาในการแปลอีกประการหนึ่งก็คือ
ปัญหาทางด้านศัพท์และสำนวน
ปัญหาทางด้านศัพท์และสำนวนเป็นปัญหาที่นักแปลมักจะพบอยู่เสมอ
ส่วนผู้ที่เรียนแปลจะแปลไม่ได้ก็มักจะคิดว่า การที่ตนเองแปลไม่ได้เพราะไม่รู้คำศัพท์
แต่ถึงจะรู้ความหมายของคำศัพท์จากพจนานุกรมก็อาจจะยังแปลผิด
เพราะไม่รู้จักเลือกความหมายที่ถูกต้อง ปัญหาเหล่านี้ได้แก่
คำศัพท์ที่มีความหมายหลายนัย คำศัพท์ที่รูปเขียนมักทำให้เข้าใจความหมายผิด
คำกริยาคู่ สุภาษิต คำพังเพย และสำนวนต่างๆ ตัวอย่างเช่น
คำศัพท์ที่มีความหมายหลายนัย 1.) I want to
draw some money. 2.) Nobody can draw
conclusions. Draw
ในประโยคแรกแปลว่าถอนเงิน ส่วน draw ในประโยคที่สอง แปลว่า
ลงความคิดเห็น และประโยคที่สองนี้ควรแปลว่า ไม่มีใครลงความเห็น
จากการศึกษาถึงเทคนิควีการแปลประโยค
Passive Voice และศึกษาปัญหาที่มักจะเจอได้ในงานแปล
ทำให้ได้ทราบว่าจะต้องศึกษาในเรื่องดังกล่าวให้ละเอียดและลึกซึ้งให้มากกว่านี้
เพราะมันจะสงผลต่องานแปลที่ดีของเราได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น