Learning
log 8 (นอกห้องเรียน)
การอ่านเป็นประตูสู่ปัญญา อยากเป็นคนเก่งก็ต้องอ่านเยอะๆ
การอ่านจะช่วยให้เรามีสมาธิกับการจดจ้องตัวหนังสือ
และการอ่านยังช่วยฝึกให้เราคิดจินตนาการตามในสิ่งที่ได้อ่าน
การอ่านให้มีประสิทธิภาพนั้นควรเริ่มต้นจากการอ่านเรื่องง่ายๆ แล้วค่อยเพิ่มระดับความยากของสิ่งที่อ่าน
จะช่วยให้เกิดความเคยชินและช่วยให้เราเป็นคนเก่งขึ้นได้
การอ่านในภาษาอังกฤษมี 2 ลักษณะ คือ การอ่านออกเสียงและการอ่านในใจ
การอ่านออกเสียงเป็นการอ่านที่ฝึกความถูกต้องและความคล่องแคล่วในการอ่านออกเสียง
ส่วนการอ่านในใจเป็นการอ่านเพื่อรับรู้และทำความเข้าใจในสิ่งที่อ่าน
เป็นการอ่านอย่างมีจุดหมาย
ทักษะการอ่านเป็นทักษะที่สามารถฝึกฝนให้เกิดความชำนาญได้ด้วยเทคนิควิธีการต่างๆ
เช่น การอ่านออกเสียง ฝึกให้อ่านออกเสียงให้ถูกต้องและคล่องแคล่ว การอ่านในใจ
สร้างกิจกรรมเข้าสู่การอ่านโดยให้ข้อมูลบางส่วนเพื่อช่วยสร้างความเข้าใจในบริบท
กิจกรรมระหว่างการอ่านจะทดสอบความเข้าใจในเรื่องราวที่อ่านและกิจกรรมหลังการอ่านจะมุ่งให้ผู้เรียนฝึกการใช้ภาษาในลักษณะทักษะสัมพันธ์
ตรวจสอบทบทวนความรู้ความเข้าใจในเนื้อเรื่องที่อ่าน
เทคนิคการอ่านแบบ
Skimming เป็นการอ่านข้อความอย่างเร็วๆ เป็นจุดๆ เช่น
อ่าน 2-3 คำแรก หรือ 2-3
ประโยคแล้วข้ามไป อาจข้ามไปเป็นประโยคหรือเป็นบรรทัด
หรืออ่านเฉพาะประโยคแรกและประโยคสุดท้ายของแต่ละย่อหน้า
หรืออ่านเฉพาะคำหรือวลีที่สำคัญ การอ่านแบบนี้มีจุดมุ่งหมายคือ
อ่านเพื่อเก็บประเด็นหรือใจความสำคัญ และอ่านเพื่อเก็บรายละเอียดที่สำคัญบางอย่าง
การอ่านแบบนี้จะช่วยประหยัดเวลาในการอ่าน ช่วยให้ผู้อ่านอ่านเรื่องต่างๆ
ได้เร็วขึ้น
และเข้าใจใจความสำคัญที่อ่านโดยไม่จำเป็นต้องอ่านรายละเอียดตลอดทั้งเรื่อง
เทคนิคการอ่านแบบ
Scanning เป็นการอ่านหาข้อมูลโดยเฉพาะ เช่น ตัวเลข
วันที่ สถานที่ ชื่อคน เป็นต้น
จะเป็นข้อมูลที่ปรากฏให้ผู้อ่านเห็นได้อย่างชัดเจนในบทอ่าน
ซึ่งถ้าคำถามถามถึงสถานที่ก็ทำให้กวาดสายตาดูคำที่หมายถึงสถานที่ส่วนใหญ่จะเป็นสถานที่เฉพาะ
เป็นชื่อเฉพาะ
จากเทคนิคการอ่านข้างต้น
เราจะพบความแตกต่างกัน คือ การอ่านแบบ Skimming จะอ่านจับใจความสำคัญขอสิ่งที่อ่าน เห็นภาพรวมแบบคร่าวๆ ส่วนการอ่านแบบ Scanning
จะอ่านเพื่อหาข้อมูลเฉพาะ ดังนั้น
การอ่านทั้งสองวิธีนี้จะมีประโยชน์มากในการทำข้อสอบ
ซึ่งผู้อ่านที่พอจะทราบคำศัพท์พอสมควรแล้วจะหาคำตอบได้เร็วขึ้น แต่ก็ต้องอาศัยการฝึกทำบ่อยๆ
อย่างน้อยวันละ 5-10 นาที
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น